ข้อแนะนำในการทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริก (กรดกัดแก้ว)
13,317 views    
  ดร.องอาจ ธเนศนิตย์  [29 มี.ค. 64]    

          กรดไฮโดรฟลูออริกหรือกรดกัดแก้ว คือ ไฮโดรฟลูออไรด์ที่ละลายในน้ำ เป็นของเหลว ใส  ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน และมีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม จัดเป็นกรดอนินทรีย์ที่เป็นกรดอ่อน (pKa = 3.19, เนื่องจากเกิดการแตกตัวเป็น H+ ในน้ำได้ไม่สมบูรณ์ 100 %) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ทั้งในทางภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา ตัวอย่างเช่น นำมาใช้ผลิตสารเคมีที่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนประกอบ (อาทิ teflon freon cryolite และ fluoxetine) ใช้เพื่อกัดและทำความสะอาดพื้นผิวของวัสดุ (เช่น สแตนเลส แก้ว) ใช้ในห้องปฏิบัติการสำหรับการย่อยตัวอย่างและเป็นรีเอเจนท์ในปฏิกิริยาต่าง ๆ  กรดไฮโดรฟลูออริกมีความเป็นอันตรายทั้งทางกายภาพ เคมี และความเป็นพิษของสาร ดังนั้น การใช้งานกรดไฮโดรฟลูออริกอย่างไม่ปลอดภัย อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ส่งผลให้เกิดความบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต รวมทั้งทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย1


ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลทั่วไปของกรดไฮโดรฟลูออริก
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างฉลากและภาชนะบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริก
ชื่อทางเคมี
Hydrofluoric acid (HF)
ชื่อสามัญอื่น ๆ
hydrogen fluoride, fluoric acid, hydrogen fluoride, fluorine monohydride, fluorane
CAS No.
7664-39-3
ความหนาแน่น (Density)
1.15 g/mL (48% HF, ที่ 25 oC)
การละลาย (Solubility)
สามารถละลายน้ำได้ดีมาก (และมีการคายความร้อนควบคู่)
การติดไฟ (Flammability)
ไม่ติดไฟ
ดัชนี NFPA 704

ที่มาของภาพ
1) Hydrofluoric Acid Large GHS Chemical Label, SKU: GHS-019-A, 17 QQ. [online]
Available at: https://line.17qq.com/articles/omgmclov.html [Accessed 25 March 2021].
2) Dorgan (2009) Hydrofluoric acid [online]
Available at: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Hydrogen_fluoride.JPG [online] [Accessed 25 March 2021].
















I. ความเป็นอันตรายของกรดไฮโดรฟลูออริก2-3

          กรดไฮโดรฟลูออริก จัดเป็นกรดแฮไลด์ชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง สามารถกัดกร่อนและทำลายผิวหนัง ดวงตา เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (เช่น เอ็น) รวมทั้งกระดูกได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกัดกร่อนและละลายโลหะ ซิลิกา และแก้วได้ (หากกัดกร่อนโลหะจะให้ผลิตภัณฑ์เป็นก๊าซไวไฟ (ก๊าซไฮโดรเจน) อาจเป็นสาเหตุในการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดได้) ในกรณีที่สัมผัสโดนกรดหรือกรดเข้าสู่ร่างกายแล้ว กรดไฮโดรฟลูออริกจะกัดกร่อนร่างกายในแบบ local effect ดังรายละเอียด    

          1. หากกรดสัมผัสโดนผิวหนัง ผิวหนังบริเวณนั้น จะระคายเคือง เจ็บ แสบ มีการบวมพอง ผิวหนังบริเวณที่สัมผัสเปลี่ยนสี (เป็นสีขาวหรือเทา) อาจเกิดการไหม้และเป็นตุ่ม พุพองได้
          2. หากกรดสัมผัสที่ตา จะระคายเคือง เจ็บ แสบ ลูกตาและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ตาจะบวม และอาจทำให้กระจกตาไหม้
          3. หากกินหรือกลืนกรดเข้าไป  กรดจะทำลายพื้นผิวของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหาร (เช่น  ปาก หลอดอาหาร กระเพาะ)  ทำให้แสบปาก คอและอก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และเกิดภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารได้
          4. หากสูดดมกรด  กรดจะกัดพื้นผิวของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก  อาจไอออกมาเป็นเลือด ปอดเกิดภาวะอักเสบ ปอดบวมน้ำ ช็อคและเสียชีวิตได้

          กรดไฮโดรฟลูออริกยังจัดเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูงมาก ถ้ารับสัมผัสอาจสามารถทำให้เสียชีวิตได้ กรดไฮโดรฟลูออริกสามารถเกิดพิษต่อร่างกายในแบบ systemic effect (เช่น เป็นพิษต่อระบบอิเล็คโตรไลต์ในเลือด) หากสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกผ่านผิวหนัง ฟลูออไรด์ไอออนจากกรดจะซึมทะลุผ่านชั้นของผิวหนัง จากนั้นจะเข้าจับกับแคลซียมและแมกนีเซียมไอออนบริเวณ deep tissue layer ของร่างกาย ผู้ประสบเหตุจะรู้สึกเจ็บแบบตุบ ๆ (throbbing pain) เนื่องจากโพแทสซียมไอออนจากเซลล์จะเคลื่อนออกไปยัง extracellular space เพื่อเข้าชดเชยการสูญเสียของแคลเซียมและแมกนีเซียมไอออน ส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia) ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia) และภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ (hypomagnesemia) ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ (heart arrhythmias) ภาวะไตวาย ภาวะตับวาย ลิ้นหัวใจรั่ว และทำให้เสียชีวิตได้

          ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเป็นอันตรายของกรดไฮโดรฟลูออริกต่อร่างกาย ขึ้นกับ 1) ความเข้มข้นของกรด และ 2) ช่วงระยะเวลาที่กรดสัมผัสร่างกาย ตัวอย่างเช่น

  • หากสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกเข้มข้นที่มากกว่า 50% ที่บริเวณผิวหนัง ผู้ประสบเหตุอาจได้รับอันตรายในระดับปานกลางจนถึงรุนแรง โดยจะแสดงอาการทันทีหลังการสัมผัส ผู้ประสบเหตุจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ผิวหนังจะไหม้และเกิดตุ่ม พุพอง
  • หากสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกเข้มข้น 20-50% ที่บริเวณผิวหนัง ผิวหนังจะไหม้ ผู้ประสบเหตุจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากภายใน 1-8 ชั่วโมง
  • ในกรณีที่สัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกเข้มข้นน้อยกว่า 20% ที่บริเวณผิวหนัง อาจไม่แสดงอาการหลังการสัมผัสในช่วงแรก ผู้ประสบเหตุจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากภายใน 24 ชั่วโมง
  • หากสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกเข้มข้นบริเวณผิวหนังมากเกินกว่า 160 ตารางเซนติเมตร (ประมาณ 1 ฝ่ามือ) จะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
  • หากสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกเข้มข้นเกิน 2% ของพื้นที่ผิวของร่างกาย อาจส่งผลทำให้เสียชีวิตได้

II. ตัวอย่างของอุบัติเหตุจากกรดไฮโดรฟลูออริกที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ (เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งหมด)

เหตุการณ์ที่ 1: อุบัติเหตุจากกรดไฮโดรฟลูออริกหกรดร่างกาย1
นักวิจัยทำการย่อยตัวอย่างโลหะผสม (metal alloy) โดยใช้กรดผสม (HF 48%: HNO3 70% = 1:5) ตัวอย่างโลหะผสมจะถูกบรรจุลงใน microwave vessel ก่อน จากนั้นจะถูกนำไปย่อยโดยใช้เครื่องย่อยสารแบบ microwave นักวิจัยมีการสวมใส่ PPE ในการทำงาน ได้แก่ เสื้อคลุมปฏิบัติการ เอี๊ยมคลุมตัวพลาสติก แว่นครอบตานิรภัย และถุงมือกันกรด ขณะที่นักวิจัยกำลังนั่งปฏิบัติงานอยู่ เกิดความผิดพลาดเป็นเหตุให้ microwave vessel จำนวน 4 vessel หกหล่นใส่ตักของนักวิจัย (หลังเสร็จสิ้นจากการย่อยตัวอย่าง และ ไม่ได้ปิดฝา microwave vessel) สารเคมีหกรดใส่ที่บริเวณตักและบางส่วนหกกระเด็นโดนบริเวณปากและคาง นักวิจัยได้ดำเนินการตอบโต้กับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยรีบถอดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ในส่วนที่ปนเปื้อนสารเคมีออก  เพื่อนร่วมงานที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว รีบเข้าช่วยเหลือ โดยพานักวิจัยที่ประสบเหตุไปชะล้างน้ำ ทาและนวดผิวหนังด้วยแคลเซียมกลูโคเนตเจลบริเวณร่างกายที่ปนเปื้อนสารเคมี เพื่อนร่วมงานได้ทำการติดต่อนักปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์เพื่อดำเนินการปฐมพยาบาลก่อนนำตัวส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจนหายดี พบว่าฟันซีกที่สัมผัสกรดได้สูญเสียอีนาเมลไปอย่างถาวร จากการสืบสวนพบว่าสาเหตุในการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ไม่ได้ใช้ตู้ดูดควันเมื่อทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริก ไม่มีภาชนะรองรับและ rack สำหรับจัดวาง microwave vessel ที่มีความมั่นคงและเหมาะสม ไม่ได้ปิดฝา microwave vessel ขณะปฏิบัติงาน ไม่มีการสวมใส่กระบังหน้าขณะปฏิบัติงาน รวมทั้ง ขาดการสอนงาน (on the job-training) ที่มีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์ที่ 2: อุบัติเหตุจากการสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกที่ปนเปื้อนถุงมือผ้า3
นักวิทยาศาสตร์ใช้กรดเข้มข้นหลายชนิดสำหรับการย่อยตัวอย่าง ซึ่งรวมทั้งการใช้งานกรดไฮโดรฟลูออริก ขณะที่เติมกรดไฮโดรฟลูออริกลงในภาชนะที่บรรจุตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์เผลอลืมเปลี่ยนชนิดของถุงมือ โดยยังคงสวมใส่ถุงมือผ้าในการทำงาน เนื่องจากภาชนะที่ใช้งานมีความร้อน ประจวบกับต้องทำการย่อยตัวอย่างเป็นจำนวนมาก  ขณะที่กำลังใกล้เสร็จจากการทดลอง นักวิทยาศาสตร์เริ่มรู้สึกเจ็บที่บริเวณเล็บ ต่อมาสักพัก สังเกตพบว่าผิวหนังที่บริเวณเล็บและนิ้วเกิดการพองและเปลี่ยนสีไป (คาดว่าน่าจะเกิดจากการสัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกที่ปนเปื้อนถุงมือผ้าขณะปฏิบัติงาน) หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง รู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง จึงรีบไปพบแพทย์ แพทย์ได้ฉีดยาและให้ยาระงับปวดเพื่อบรรเทาอาการ แต่ความเจ็บปวดทุเลาลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แผลลุกลามและขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้น แพทย์ตรวจพบว่าเนื้อเยื่อได้ถูกทำลายมากจนเกือบถึงกระดูก แพทย์จึงได้ทำการตัดเนื้อเยื่อที่ตายออกและดำเนินการศัลยกรรมเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ แพทย์ได้ทำการรักษาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังการรักษา นิ้วที่ได้รับอุบัติเหตุของนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้น ก็ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม

III. การใช้งาน การจัดเก็บและการเคลื่อนย้ายกรดไฮโดรฟลูออริก1-7

การใช้งานกรดไฮโดรฟลูออริก (ก่อนการปฏิบัติงาน)  

  • ให้ศึกษาข้อมูลความเป็นอันตรายของกรดไฮโดรฟลูออริก จากเอกสารข้อมูลความปลอดภัยของของสาร (SDS)
  • ควรมี Standard Operating Procedure (SOP) ในการทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริก
  • ไม่จัดเก็บกรดไฮโดรฟลูออริกไว้ในตู้ที่ทำจากโลหะ เช่น ตู้เหล็ก ควรจัดเก็บไว้ในตู้ที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ตู้ที่ทำจาก polyethylene (PE)
  • ควรมีการติดป้ายเตือนด้านความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ทำงาน  เช่น “อันตราย มีการใช้งานกรดไฮโดรฟลูออริกในพื้นที่ (Danger, Hydrofluoric Acid Used in this Area)”
  • จัดเตรียม antidote เพื่อใช้ปฐมพยาบาลในกรณีที่สัมผัสกรดไฮโดรฟลูออริกที่ผิวหนัง เช่น แคลเซียมกลูโคเนตเจล เข้มข้น 2.5 % หรือ Hyamine 1622 (ชื่อทางการค้าของ tetracaine benzethonium chloride) หรือ Zephiran chloride (ชื่อทางการค้าของ benzalkonium chloride)  และควรจัดให้มีปริมาณที่เพียงพอ (ตามปริมาตรของกรดไฮโดรฟลูออริกที่ใช้งาน) และมีสภาพพร้อมในการใช้งาน (เช่น ยังไม่หมดอายุ ไม่เสื่อมสภาพ)
  • จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ตอบโต้ในกรณีกรดไฮโดรฟลูออริกหกรั่วไหล เช่น HF neutralizer kit  ไว้ใกล้บริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน
  • ทราบตำแหน่งของเครื่องมือด้านความปลอดภัย เช่น ฝักบัวนิรภัยฉุกเฉิน และอ่างล้างตาฉุกเฉิน 


รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างยาผลิตภัณฑ์ Calgonate ซึ่งมีแคลเซียมกลูโคเนต 2.5 % เป็นส่วนประกอบ
ที่มาของภาพ Calgonate®, VWR [online] Available at: https://us.vwr.com/store/product/4758181/calgonate-hydrofluoric-acid-burn-relief-gel-calgonate [Accessed 25 March 2021].

 

การใช้งานกรดไฮโดรฟลูออริก (ขณะปฏิบัติงาน)  

  • เมื่อทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริกในตู้ดูดควัน
  • ปิดฝาภาชนะหรือขวดบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริกทุกครั้งหลังการใช้งาน
  • ติดฉลากระบุข้อมูลสารเคมีที่ขวดหรือภาชนะแบ่งบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริกทุกครั้ง เช่น ชื่อสารเคมี วันที่ ชื่อผู้ปฏิบัติงาน
  • ไม่เก็บกรดไฮโดรฟลูออริกหรือของเสียจากกรดไฮโดรฟลูออริกไว้ในภาชนะแก้ว เนื่องจากกรดสามารถกัดแก้วได้ ให้เก็บไว้ในภาชนะที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ภาชนะที่ทำจาก polyethylene (PE) หรือ teflon
  • จัดวางภาชนะหรือขวดบรรจุ กรดไฮโดรฟลูออริกหรือของเสียจากกรดไฮโดรฟลูออริก ลงในถาดรองรับที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ถาดพลาสติกชนิด polyethylene (PE) และมีขนาดที่เหมาะสม
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม เช่น สวมใส่เสื้อคลุมปฏิบัติการ และเอี๊ยมที่สามารถกันกรดได้  (acid resistant apron) อาทิ เอี๊ยมพีวีซี รองเท้าปิดส้นเท้า แว่นครอบตานิรภัยชนิดกันกันสารเคมี (chemical splash safety goggle) อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจที่สามารถกันไอกรดได้ กระบังหน้าแบบเต็มหน้า (full-face shield) และถุงมือที่สามารถกันกรดได้
  • ชนิดของถุงมือที่มีความเหมาะสมในการใช้งาน
          - สำหรับกรณีที่ต้องทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริกเจือจาง ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า 30%
             สวมใส่ถุงมือไนไตรท์และสวมถุงมือแบบสองชั้น  (double gloving) ห้ามใช้ถุงมือยางลาเท็กซ์ในการทำงานโดยเด็ดขาด
          - สำหรับกรณีที่ต้องทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริกที่มีความเข้มข้น 30-70 % 
             ควรสวมใส่ถุงมือที่ทำจากวัสดุที่มีความเหมาะสม เช่น ถุงมือยางบิวทิล (butyl rubber) ถุงมือยางนีโอพลีน (neoprene rubber) ถุงมือ Silver Shield/4H®(PE/EVAL/PE)
          - สำหรับกรณีที่ใช้งานกับกรดไฮโดรฟลูออริกที่มีความเข้มข้น มากกว่า 70 % 
             ควรสวมใส่ถุงมือที่ทำจากวัสดุที่มีความเหมาะสม เช่น ถุงมือยางนีโอพลีน (neoprene rubber) ถุงมือ Barrier®(PE/PA/PE), Trellchem®HPS, Tychem®TK
  • ไม่สวมใส่เครื่องประดับใด ๆ ในขณะปฏิบัติงาน
  • ห้ามทำงานตามลำพังในห้องปฏิบัติการ ต้องมีเพื่อนร่วมงานอย่างน้อย 1 คน อยู่ทำงานร่วมด้วย
  • ไม่ทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ชั่วโมง
  • ของเสียสารเคมีจากกรดไฮโดรฟลูออริกของห้องปฏิบัติการในจุฬาฯ  ให้จำแนกประเภทของเสียสารเคมีและดำเนินการส่งกำจัดตามระบบ Chemtrack&Wastetrack2016
  • ถอดถุงมือที่มีการปนเปื้อนของกรดไฮโดรฟลูออริกทุกครั้ง ก่อนออกไปทำกิจธุระนอกห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีออกสู่ภายนอก หรือเมื่อเสร็จสิ้นจากการทดลอง

การจัดเก็บกรดไฮโดรฟลูออริก

  • เก็บไว้ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี แห้ง เย็น และเก็บให้ห่างจากแสงแดด
  • ไม่จัดเก็บกรดไฮโดรฟลูออริกไว้ใกล้กับสารไวไฟ สารติดไฟ และวัสดุติดไฟ
  • ไม่จัดเก็บกรดไฮโดรฟลูออริกไว้กับสารที่เข้ากันไม่ได้ (incompatible materials) เช่น โลหะ (metals) โลหะแอลคาไลน์ (alkali metals) เบสแก่ (strong base)  สารออกซิไดซ์ และแก้ว
  • จัดวางภาชนะหรือขวดบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริกลงในถาดรองรับที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ถาดพลาสติกชนิด polyethylene (PE) และมีขนาดที่เหมาะสม 
  • ไม่จัดเก็บกรดไฮโดรฟลูออริกไว้ในตู้โลหะ เช่น ตู้เหล็ก ให้เก็บไว้ในตู้ที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ตู้พลาสติก polyethylene (PE)

การเคลื่อนย้ายกรดไฮโดรฟลูออริก

  • ภาชนะบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริกต้องถูกปิดฝาให้สนิทก่อนการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง
  • จัดวางภาชนะบรรจุกรดไฮโดรฟลูออริก ลงในถาดรองรับที่มีสมบัติเฉี่อยต่อกรดไฮโดรฟลูออริก เช่น ถาดพลาสติกชนิด polyethylene
  • ไม่เคลื่อนย้ายกรดไฮโดรฟลูออริก ไปพร้อมกับสารที่เข้ากันไม่ได้
  • จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ตอบโต้ในกรณีกรดไฮโดรฟลูออริกหกรั่วไหล เช่น HF neutralizer kit  และให้มีสภาพพร้อมในการใช้งาน

VI. การตอบโต้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจากกรดไฮโดรฟลูออริก1-7 

ข้อปฏิบัติในกรณีที่กรดไฮโดรฟลูออริกหกรดร่างกาย  

  • ให้รีบถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออกโดยเร็ว
  • เช็ดกรดไฮโดรฟลูออริกที่หกรดร่างกายด้วยผ้าแห้งสะอาด (ถ้าสามารถทำได้)
  • ในกรณีที่มี antidote ใช้งาน
          - ให้รีบล้างผิวหนังบริเวณที่ปนเปื้อนกรดไฮโดรฟลูออริกด้วยน้ำสะอาดโดยทันที โดยชะล้างเป็นเวลานาน 5 นาที  (ควรต้องเข้าถึงบริเวณที่ชะล้างและสามารถล้างน้ำให้ได้ภายในช่วง 10-15 วินาทีแรกหลังกรดสัมผัสร่างกาย)
          - นวดผิวหนังในส่วนที่สัมผัสกรดด้วย antidote ที่เหมาะสม เช่น แคลเซียมกลูโคเนตเจล เข้มข้น 2.5 %  (สามารถหาซื้อได้ในร้านขายยาหรือตัวแทนที่จัดจำหน่ายอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ตัวอย่างชื่อทางการค้าของผลิตภัณฑ์ยา เช่น calgonate หรือ สามารถจัดเตรียมได้เองจากการผสม 10% สารละลายแคลเซียมกลูโคเนต 1 ส่วน ผสมกับสารหล่อลื่นที่ละลายน้ำได้ (เช่น K-Y Jelly) 3 ส่วน7) โดยนวดบริเวณผิวหนังที่โดนกรดทุก ๆ 10-15 นาที (จะพบของแข็งสีขาวของแคลเซียมฟลูออไรด์ (CaF) เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่นวด) ดังแสดงในรูปที่ 3
          - รีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
  • ในกรณีที่ไม่มี antidote ใช้งาน  
          - ให้รีบล้างผิวหนังบริเวณที่ปนเปื้อนกรดไฮโดรฟลูออริกด้วยน้ำสะอาดโดยทันที เป็นเวลา 15 นาที  (ควรต้องเข้าถึงบริเวณที่ชะล้างและสามารถล้างน้ำให้ได้ภายในช่วง 10-15 วินาทีแรกหลังกรดสัมผัสร่างกาย)
          - รีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
รูปที่ 3 แสดงความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหลังสัมผัสสารละลายกรดไฮโดรฟลูออริก  
ก) บริเวณขา (ก่อนทาแคลเซียมกลูโคเนตเจล เข้มข้น 2.5 % )  ข)  บริเวณขา (หลังทาและนวดด้วยแคลเซียมกลูโคเนตเจล เข้มข้น 2.5 %)  ค) บริเวณนิ้วมือ
ที่มาของภาพ
1)  Hydrofluoric (HF) Acid Hazards MIT [online] Available at: http://web.mit.edu/cohengroup/safety/hf020911.pdf  [Accessed 29 March 2021].  
2)  HFBurn. EMOttawa [online] Available at: https://emottawablog.com/2021/01/early-bird-catches-the-burn-hydrofluoric-acid-treatment/ [Accessed 29 March 2021].

ข้อปฏิบัติในกรณีที่กรดไฮโดรฟลูออริกหกกระเด็นเข้าตา

  • กรณีที่มีสารละลายแคลเซียมกลูโคเนต (ที่ผ่านการ sterile)  เข้มข้น 1 %
          - ให้ใช้สารละลายแคลเซียมกลูโคเนต (ที่ผ่านการ sterile)  เข้มข้น 1 %  (สามารถเตรียมได้โดยผสม 10% สารละลายแคลเซียมกลูโคเนต 50  มิลลิลิตร กับ normal saline 450 มิลลิลิตร7) หยอดที่ตาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน 5 นาที (ห้ามใช้แคลเซียมกลูโคเนตเจล เข้มข้น 2.5 % ในการล้างตา) จากนั้น ชะล้างตา (flush) ต่อด้วยสารละลายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
          - รีบนำส่งจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
  • กรณีที่ไม่มีสารละลายแคลเซียมกลูโคเนต (ที่ผ่านการ sterile)  เข้มข้น 1 %
          - ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาด เช่น น้ำจากอ่างล้างตาฉุกเฉิน เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที
          - รีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

ข้อปฏิบัติในกรณีที่สูดดมไอกรดไฮโดรฟลูออริก

ให้รีบนำผู้ประสบเหตุออกมาในพื้นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และถ่ายเท  และรีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

ข้อปฏิบัติในกรณีที่กลืนกินกรดไฮโดรฟลูออริก

ห้ามทำให้อาเจียนหรือกินผงถ่าน  (activated charcoal) ทั้งนี้ ผู้ประสบเหตุ (ผู้ใหญ่) สามารถดื่มนมหรือน้ำในปริมาตร 250 มิลลิลิตร เพื่อบรรเทาอาการ และให้รีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว  

ข้อปฏิบัติในกรณีที่กรดไฮโดรฟลูออริกหกรั่วไหล

  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสม ตามข้อแนะนำในเอกสารข้อมูลความปลอดภัยของสาร (SDS)
  • ใช้ตัวดูดซับที่มีความเหมาะสม เช่น HF neutralizer absorbent (อาทิ Chemizorb® HF (Merck), PIG® Hydrofluoric Acid Neutralizer (Pigs)  เทลงบนกรดไฮโดรฟลูออริกที่หกรั่วไหล หรือ ใช้สารเคมีที่มีความหมาะสม เช่น สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ หรือแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ที่เจือจาง (ปริมาณมาก) เพื่อทำให้กรดที่หกรั่วไหลเป็นกลาง (ค่อยๆ เทสารละลายดังกล่าว เพื่อให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ  โดยหลีกเลี่ยงการเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลให้กรดระเหยให้ก๊าซพิษไฮโดรฟลูออไรด์)  
  • ห้ามใช้โซเดียมคาร์บอเนต หรือแมกนีเซียมคาร์บอเนต ในการทำให้เป็นกลาง เนื่องจากจะเกิด intermediate คือ โซเดียมหรือแมกนีเซียมไฮโดรเจนไบฟลูออไรด์ ที่ไม่เสถียรและให้ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นก๊าซพิษไฮโดรฟลูออไรด์ได้
  • ห้ามใช้ตัวดูดซับประเภท 1) mineral-based, clay-based absorbent เช่น vermiculite 2) ทราย และ 3) dirt/ earth เนื่องจากตัวดูดซับประเภทดังกล่าวสามารถละลายได้ในกรดไฮโดรฟลูออริก


ตัวอย่างวีดีทัศน์ (Youtube) แสดงการทำงานกับกรดไฮโดรฟลูออริกอย่างถูกต้องและปลอดภัยของ EHS มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา Ducut, J. (2018) Hydrofluoric Acid Safety. Available at: https://www.youtube.com/watch?v=R62GIezA1Ws (Accessed: 29 March 2021)


เอกสารอ้างอิง

1. Juba, B.W., Mowry, C.D., Fuentes, R.S., Pimentel, A.S. and Román-Kustas, J.K. (2021) ‘Lessons Learned—Fluoride Exposure and Response’ ACS Chemical Health & Safety, 28(2) [online]. Available at: https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acs.chas.0c00108 (Accessed: 26 March 2021)

2. Department of Chemistry and Chemical Biology. Harvard University (2013) ‘Guidelines for the Safe Use of Hydrofluoric Acid’ [online]. Available at: https://chemistry.harvard.edu/files/chemistry/files/safe_use_of_hf_0.pdf (Accessed: 26 March 2021)

3. EHS.Princeton.EDU (2021) ‘Hydrofluoric Acid’[online] Available at: https://ehs.princeton.edu/book/export/html/197 [Accessed 25 March 2021].

4. ชลัย ศรีสุข (2544) ‘อันตรายจากกรดกัดแก้ว’ วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ, 156 [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2544_49_156_p15-16.pdf [เข้าถึงเมื่อ 25 มีนาคม 2564].

5. Pubchem.National Center for Biotechnology Information.National Institutes of Health.USA (2021). Hydrofluoric acid. [online] Available at: https://pubchem.ncbi.nlm.nih.gov/compound/14917 [Accessed 25 March 2021].

6. ECHA.Europa.EU. 2021. Hydrofluoric acid- Substance Information [online] Available at: https://echa.europa.eu/substance-information/-/substanceinfo/100.028.759 [Accessed 25 March 2021].

7. นายแพทย์สัมมน โฉมฉาย ‘Hydrogen fluoride และ hydrofluoric acid’ การรักษาภาวะพิษสารเคมี. น.54-62 [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: Hydrogen fluoride และ Hydrofluoric acid [เข้าถึงเมื่อ 25 มีนาคม 2564].